เราคลอดลูกที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ส่วนตัวแล้วคิดว่าโรงพยาบาลให้อิสระกับแม่ว่า คุณอยากจะเลี้ยงลูกด้วยนมอะไร ก็ตามสะดวก (ไม่ได้เป็นโรงพยาบาลสนับสนุนนมแม่แบบชัดเจน แต่ก็ไม่ได้บังคับว่าต้องกินนมผง) เมื่อคลอดออกมา ลูกจะถูกแยกจากแม่อยู่ที่ห้องเด็ก และพยาบาลจะมาพาเราไปให้นมลูกทุก 3 ชั่วโมง ยกเว้นหลังเที่ยงคืน ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นวอร์ดรวม ไม่ใช่วอร์ดสูติกรรมหลังคลอดโดยเฉพาะ ดังนั้นการเอาเด็กน้อยออกมาอยู่กับแม่บนวอร์ดเป็นการเสี่ยงกับเชื้อโรคต่างๆมากมาย ส่วนนี้เราเข้าใจนะว่า โรงพงยาบาลเอกชน ถ้าไม่ใช่โรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงด้านสูติกรรม การที่จะให้แยกวอร์ดสูติกรรมออกมาโดยเฉพาะ คงเป็นไปได้ยาก เพราะคนคลอดมีน้อยกว่าคนป่วย ดังนั้นจึงต้องใช้ห้องให้คุ้มค่า (โรงพยาบาลก็มีค่าใช้จ่ายนะเออ และเอกชนก็ย่อมแสวงหากำไรเป็นเรื่องธรรมดา)
เราคลอดโดยการผ่าคลอด ดังนั้นใน 1 วันแรกเราจะยังไม่เจอหน้าลูกเลย เพราะจะต้องนอนนิ่งๆ จนหมดฤทธิ์ยา ไหนจะสายน้ำเกลือ สายปัสสาวะที่ระโยงระยางอีกน่ะ จนเมื่อหมอถอดสายทุกอย่างออกไปจากตัว เราจึงได้ไปเจอหน้าลูก ที่ห้องเด็กมีพยาบาลมาคอยสอนการเอาลูกเข้าเต้า (การให้นมลูกจากเต้า) ปลุกปล้ำกันอยู่นาน คุณลูกก็ไม่ยอมตื่นมากินนมซักที งับหัวนมอมไว้เฉยๆแล้วก็หลับคร่อก ก็เป็นธรรมดาของเด็กทารกที่หลับเยอะกว่าปกติ และน่าจะเป็นว่าในช่วง 1 วันที่เรายังไม่เจอลูก ได้มีการให้นมผงกับลูกไปเรียบร้อยแล้ว เด็กน้อยเลยอิ่มไม่ยอมตื่นมาดูดนมแม่ และเป็นช่วงที่น้ำนมแม่ยังไม่ออกมา คืนนั้นหลังจากที่หมดช่วงให้นมลุก เราได้พยายามใช้เครื่องปั้มนม ปั้มกระตุ้นให้น้ำนมมา เพราะคิดว่าก็ยังดีกว่านั่งรอลูกดูดเฉยๆ จนแล้วจนรอด จนถึงวันที่ออกจากโรงพยาบาล ลูกก็ยังไม่ยอมดูดนมเรา ซึ่งแน่นอนว่าระหว่างนั้นมีการป้อนนมผงไปเรียบร้อยแล้ว โดยการใช้หลอดหยดค่อยๆหยด ตอนนั้นนมเรายังไม่ออกมา จนน้องพยาบาลคนหนึ่งมาดูเต้านมของเรา และทำการนวดกระตุ้นให้ ปรากฏว่าหลังจากนั้นอีก 2 ชั่วโมง นมพุ่งยังกับน้ำเลย น้องให้เหตุผลว่า นมมาแล้วแหละแต่ไม่ยอมออก เมื่อเรานวดกระตุ้นให้เต้านิ่ม น้ำนมก็จะไหลออกมาง่ายขึ้น ซึ่งก็เป็นเวลาที่เราออกจากโรงพยาบาลกลับบ้านพอดี
ก่อนกลับบ้านมีการเจาะหาค่าตัวเหลือง ลูกเรามีอาการตัวเหลือง มีค่าอยู่ที่ 8 ตอนนั้นวิตกมาก ก็ได้รับคำแนะนำว่า เมื่อกลับบ้านก็พยายามให้ลุกดูดนมทุกๆ 2 ชั่วโมง แต่ถ้านมยังไม่มา ก็เอานมผงชงให้กินไปก่อน เพราะควรจะจัดการเรื่องตัวเหลืองให้จบก่อน (สารเหลืองสามารถกำจัดออกได้ ทางอึของทารก จึงต้องให้กินนมเยอะๆและอึออกมา การกินน้ำไม่ช่วยขับสารเหลืองแต่อย่างใด ) ซึ่งเราก็เลือกวิธีการนั้น โดยการชงนมผงให้กิน และปั้มนมกระตุ้นไปเรื่อยๆ แต่ในที่สุดลูกก็ไม่ยอมดูดนมจากอก เราเลยตัดสินใจปั้มใส่ขวดให้กินแทน ละในที่สุด เราก็กลายเป็น Pumpping Mom โดยสมบูรณ์ ปั้มนมแม่ใส่ขวดให้ลูกกินเท่านั้น
หลายๆคนที่เจอสถานการณ์แบบเรา ก็คงตัดใจให้ลูกกินนมผงไปเลย ส่วนใหญ่จะไม่ปั้มนม และก็จะเข้าใจว่า ตัวเองไม่มีน้ำนมเลี้ยงลูก แต่สำหรับเรา เราคิดแบบนั้น ก็ด้วยตรรกะที่เราคิดนั่นแหละ ว่า “ ลูกคนก็ต้องกินนมคน อะไรที่ธรรมชาติสร้างมาคู่กัน สิ่งนั้นมันย่อมจะดีที่สุด “ ยิ่งถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนความรู้ที่ดีจากโรงพยาบาลที่คลอดแล้วด้วย ก็จะยิ่งหันไปหานมผงมากขึ้น บางคนพาลโทษโรงพยาบาลไปเลยว่า ทำไมไม่สอนการให้นม / แย่นะที่แยกแม่แยกลูก ไม่ยอมเอาเด็กมาให้แม่เลี้ยง มาอ้างว่ากลัวเชื้อโรค นี่ นั่น โน่น กลับบ้านไปเด็กก็เจอเชื้อโรคอยู่ดี (เชื้อโรคที่บ้านกลับทีโรงพยาบาล เราว่าเชื้อโรคที่โรงพยาบาลมันแย่กว่านะ ) / โรงพยาบาลได้ % ค่านมผงละสิ ถึงแจกนมผงกลับมา
แต่สำหรับเรา เราคิดว่าความรู้มันมีอยู่ทุกที่ ขึ้นอยู่กับเราจะแสวงหาวิธีการ ตราบใดที่คุณมีโทรศัพท์มือถือ เข้าเฟสบุ๊คได้ นั่นแปลว่าคุณเองก็สามารถแสวงหาความรู้ได้ด้วยวิธีง่ายๆเช่นกัน เราไม่รอให้โรงพยาบาลมานั่งสอนเพียงอย่างเดียว และการที่เราจะเลี้ยงลูกด้วยนมอะไรนั้น มันก็อยู่ที่เรา เราโดนแยกแม่ลูก โดนป้อนนมผง ได้รับแจกนมผง แต่เราก็ยังตัดสินใจที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ คนรู้จักของเราบางคนได้คลอดที่โรงพยาบาลระดับโรงเรียนแพทย์ ได้รับการสอนเรื่องการให้นมแม่เป็นอย่างดี แต่เมื่อออกจากโรงพยาบาลมา เค้าก็เลือกที่จะซื้อนมผงให้กับลูก ด้วยข้ออ้างง่ายๆว่า “ไม่มีน้ำนม” (ที่ไม่รู้ว่า ไม่มีเพราะไม่พยายามให้มี หรือว่าเป็นแค่ข้ออ้างก็ตาม)
ดังนั้นการที่แม่คนหนึ่งจะสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้หรือไม่ก็ตาม ความรู้ความเข้าใจ ความสามารถมันเป็นเพียงองค์ประกอบย่อยเท่านั้น แต่ปัจจัยหลักเลยก็คือ ตัวแม่เอง เพราะถ้าแม่มีความตั้งใจแล้ว ต่อให้ยากลำบากขนาดไหนก็ย่อมจะแสวงหาวิธีมาจนได้ แต่หากว่าหัวใจไม่แม่เอาแล้ว ต่อให้มีผู้เชี่ยวชาญที่ดีอยู่ข้างกาย ถึงอย่างไรเค้าก็ทำไม่ได้อยู่ดี