วันนี้จะมาแชร์เรื่อง มารยาทในการเล่นกับเด็ก และการปฏิบัติต่อพ่อแม่ของเด็กนะคะ เรื่องนี้เกิดขึ้นตัวเองค่ะ
เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เราและครอบครัวได้ไปงานเลี้ยงแห่งหนึ่งของน้องที่สนิทกัน เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในงานคือมีคนมาขออุ้มลูกเรา ซึ่งปกติแล้วลูกเราจะไม่ยอมให้คนแปลกหน้าอุ้ม แต่ว่ากับคนนี้ที่เข้ามาเล่นกับลูกเรามีลักษณะที่ลูกเราคุ้นเคย นั่นคือเป็นหญิงสูงวัย ดังนั้นลูกเราจึงยอมให้เค้าอุ้มไป ในระหว่างนั้นเราสังเกตว่าเหมือนเค้าจะรู้จักและสนิทกับสามีเรา แต่เวลาช่วงนั้นเราไม่สามารถที่จะเดินไปถามกับสามีได้ว่า คนๆนี้คือใคร เราจึงตัดสินใจพยายามขอลูกคืนกลับมาอย่างสุภาพ แต่ว่า……เค้าไม่ให้และยังพูดอีกว่า “ ไม่ไปแล้ว ไม่ไปกับพ่อแม่แล้วจะอยู่กับป้าเนอะลูกเนอะ “ (อ้าว……ทำไมพูดแบบนั้นล่ะคะป้า มนุษย์แม่นี่จี๊ดดดดเลย ) ด้วยภาวะที่ยังต้องรักษามารยาท เราเลยยิ้มๆและทำท่าขยับรองเท้าลูกให้เข้าที่ ในขณะที่คุณป้าท่านนั้นก็พยายามไล่เราไป บอกว่าป้าจะดูลูกให้ ดีว่าสามีเราทำธุระเสร็จและกำลังลาเจ้าภาพกลับ จึงเป็นโอกาสที่เราเอาลูกคืนมาแล้วขอตัวกลับทันที เมื่อมาถึงรถแล้วได้คุยกันจึงได้รู้ว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นแค่ญาติสนิทของเจ้าภาพ ที่เจ้าภาพพามาแนะนำให้รู้จักกับสามีเรา และเพิ่งจะรู้จักกันเมื่อสักครู่นี้เท่านั้น
งานนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างปลอดภัยดี และเราเชื่อว่าคุณป้าท่านนั้นก็ไม่ได้มีอะไรนอกจากเอ็นดูลูกเรามากเท่านั้นเอง แต่ถ้าหากว่า คนๆนั้นที่เข้ามาตีสนิทกับเราเป็นมิจฉาชีพ แล้วตัวเอาเองไม่ทันระวังล่ะ ป่านนี้อะไรจะเกิดขึ้น
ตัวเราเองได้ตกลงเรื่องนี้กับสามีแล้วว่า เราจะไม่ปล่อยลูกให้คลาดสายตา ไม่ว่าใครจะมาขออุ้มลูกไปหรืออย่างไร เราจะตามขอคืนหรือประกบตัวติดไว้ ถึงแม้ว่าจะเป็นคนที่ไว้ใจได้ก็ตาม นอกจากจะเป็นการป้องกันมิจฉาชีพในขั้นแรกแล้ว ยังเป็นการป้องกันคนเลี้ยงเด็กเผลอเลอ จนอาจจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา แม้ว่าเราจะอยู่ในบ้านเราก็ยังยึดถือกฏนี้เสมอ
การที่เด็กไม่ร้องไห้ โวยวายเมื่อเจอคนแปลกหน้า เข้ากับคนได้ง่ายคุ้นเคยกับคนแปลกหน้าได้เร็ว อาจจะทำให้สังคมมองว่าลูกคุณน่ารัก friendly แท้ที่จริงแล้ว ล้วนไม่เป็นสิ่งดี เพราะถ้าหากวันหนึ่งมีมิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามา เค้าจะสามารถพาลูกคุณไปได้โดยที่เด็กไม่ร้องงอแงให้สงสัย
นอกจากนี้ แม้ว่าจะอยู่ในบ้านหรือในที่รโหฐานก็ตาม โดยเฉพาะเมื่อมีคนอยู่ในสถานที่นั้นมากกว่า 2 คน (รวมตัวเด็กด้วย) มักจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุจากความเผลอเลอได้ง่าย เพราะต่างคนต่างก็เข้าใจว่าเด็กอยู่ในสายตาของอีกฝ่ายหนึ่ง สุดท้ายแล้วอาจจะไม่มีใครดูเด็กเลย และอุบัติเหตุต่างๆก็มักจะเกิดขึ้นในตอนนี้
ถ้ารักลูก จงอย่าละสายตาไปจากลูกแม้แค่เสี้ยววินาที
ในสมัยที่เรายังไม่มีลูกเอง เวลาเห็นเด็กน่ารักบางทีเราก็เข้าไปเล่นด้วย ด้วยกับจับแขนรึจับขาเบาๆ รึไปเล่นจ๊ะเอ๋ แต่ถ้าเป็นญาติๆหรือสนิทกันจริงๆ ก็อาจจะมีอุ้มบ้าง แต่ก็เป็นส่วนน้อยเพราะกลัวจะไปทำลูกเค้าหลุดมือ (ถึงแม้ว่าจะเป็นคนที่เลี้ยงน้องเลี้ยงเด็กมาเยอะก็ตามแต่ก็ยังกลัว )
จนวันหนึ่งที่เรามีลูกเอง เริ่มศึกษาสุขลักษณะต่างๆ และโรคภัยไข้เจ็บที่เกี่ยวกับเด็ก โรคส่วนมากล้วนเกิดจากการสัมผัสจนทำให้ได้รับเชื้อ เพราะเด็กอ่อนนั้นภูมิต้านทานยังไม่สมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นหวัด เริม ท้องเสีย และอื่นๆอีกมากมาย หลังจากนั้นเมื่อเราเจอเด็กน้อยคนอื่นๆ เราจะทำแค่ยิ้มทักทาย อย่างมากคือจับที่ปลายเท้าของเค้า แล้วยืนคุยกันตามประสามนุษย์แม่ และสิ่งที่ห้ามเด็ดขาดคือการจับแก้มหรือบริเวณใบหน้าของเด็กน้อย เพราะเป็นตำแหน่งที่เชื้อโรคสามารถเล็ดรอดเข้าไปในร่างกายได้ง่ายที่สุด (ตา จมูก ปาก ) นี่ก็เป็นกฎอีก 1 ข้อที่เราถือปฏิบัติกับลูกคนอื่นและพยายามไม่ให้ใครมาทำแบบนี้กับลูกเรา
เราอยากจะแชร์เรื่องนี้เป็นข้อเตือนใจ กับพ่อแม่ทุกคนว่าอย่าประมาท เผลอเลอ หรือละสายตาออกจากลูก เพราะสิ่งร้ายๆที่ไม่คาดฝันอาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
และอยากฝากถึงคนทั่วๆไป ด้วยว่า เมื่อคุณเห็นเด็กน่ารักๆ ขอให้เพียงแค่ส่งยิ้ม หรือพูดคุยหยอกเย้าก็พอ เพราะการที่คุณไปจับ อุ้ม สัมผัสเด็กนั้น อาจจะก่อให้เกิดผลลบกับ สุขภาพกายและสวัสดิภาพของเด็กในอนาคตได้ และอย่าได้โกรธ หากพ่อแม่ของเด็กเหล่านั้น แสดงออกถึงความไม่ยินดีที่จะให้คุณเล่นด้วย เพราะเค้าเหล่านั้นก็ไม่อาจจะทราบได้ว่า ตัวคุณเป็นใคร เป็นคนดีที่เอ็นดูลูกคุณจริงๆ หรือว่าเป็นมิจฉาชีพแฝงตัวมา
การจะเล่นกับเด็กที่ไม่ใช่ลูกหลานหรือญาติสนิทนั้น ควรจะมีขอบเขตที่พอเหมาะอย่าสัมผัสเด็กแบบใกล้ชิดเกินไป เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโรคให้กับเด็กเล็ก และเพื่อป้องกันการคุ้นชินกับคนแปลกหน้าง่ายๆในเด็กโต