ดิฉันเองตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้มานานมากแล้วค่ะ เอื้อนเอ่ยอยู่นานหลายที เพราะยังเรียบเรียงไม่ได้ ด้วยเหตุว่ายุ่งกับชีวิตตัวเองนี่แหละค่ะ ตั้งแต่เรื่องวีซ่า การแต่งงาน การย้ายถิ่นฐาน การปรับตัวต่างๆ นานา และในวันนี้วันที่ชีวิตในต่างแดนของดิฉันก็เดินทางมาประมาณหนึ่งปีแล้วค่ะ เรียกได้ว่าเริ่มเข้าที่เข้าทางนั่นเอง
และวันนี้จะขอแชร์ประสบการณ์ กับเพื่อนๆ นะคะ อ่านกันเป็นเรื่องสนุกสนานกันไป ไม่ซีเรียสค่ะ
ซึ่งตอนแรกนี้ดิฉันเขียนว่า “แต่งงานสายฟ้าแลบ“ แต่ว่าไม่ได้ท้องหรอกนะคะ (เสียดาย 555) เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ
สามีสุดเลิฟคนนี้เป็นชาวฝรั่งเศสค่ะ หลังจากที่คบหาดูใจกันมาได้ซักพัก แฟนก็อยากชวนไปเที่ยวบ้านเค้าบ้าง ก็เลยต้องเร่ิมทำวีซ่าค่ะ แต่การขอวีซ่าไปฝรั่งเศสนั้นยากเย็นสำหรับเราสองคนเหลือเกิน ถูกปฏิเสธสองรอบด้วยความผิดพลาดของเราสองคนนี่แหละค่ะ
คราวนี้เอาใหม่ ตั้งสติ (สามียังไม่ยอมแพ้นะคะ) ตัดสินใจขอวีซ่าอีกรอบ เป็นวีซ่าเพื่อไปแต่งงานค่ะ
นับเป็นการขอแต่งงานที่ไม่โรแมนติกเลย แถมฉุกละหุกมากด้วยสิ
คราวนี้ขั้นตอนเยอะมากค่ะ สามีต้องติดประกาศกับทางอำเภอก่อนว่าจะแต่งงาน ติดไว้ซัก สองสัปดาห์ จากนั้นถ้าไม่มีใครคัดค้านเค้าก็จะอนุญาตให้แต่งได้ค่ะ นี่แค่ขั้นแรกนะคะ ส่วนเรื่องเอกสารนี่ไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะ กองเท่าวิทยานิพนธ์ได้เลยค่ะ ดิฉันเองต้องส่งเอกสารส่วนตัวให้สามีไปยื่นกับอำเภอที่ฝรั่งเศส (สามีอยู่เมืองมาร์กเซย์ค่ะ)
จากนั้นสถานฑูตฝรั่งเศสในไทยจะเรียกดิฉันไปสัมภาษณ์ ฝั่งสามีก็จะถูกเรียกไปสัมภาษณ์เหมือนกันค่ะ เมื่อการสัมภาษณ์เสร็จสิ้นแล้ว ก็รอผลวีซ่าอีกเหมือนเดิมค่ะ
คราวนี้ปรากฏว่า ผ่านค่ะ!!!!! สามีดีใจจนร้องไห้ พากันกระโดดโลดเต้นผ่าน Skype แต่ว่าดีใจได้ไม่นานต้องมาตั้งสติต่อ วีซ่าได้มาหนึ่งเดือน และต้องเดินทางในวันมะรืนนี้เลยค่ะ อ่าว จัดกระเป๋าสิคะ เอกสารทุกอย่างห้ามลืมเด็ดขาด (ลักษณะเหมือนจะเดินทางไปดูงานต่างประเทศกระทันหัน เพราะทุกอย่างดูเป็นทางการเสียเหลือเกิน 555) ออกเดินทางวันที่ 27 กรกฎาคม ตอนเช้า ไปถึงนู่นก็วันเดียวกันแต่ตอนบ่ายๆ เพราะเวลาที่ฝรั่งเศสช้ากว่า
ตื่นเช้าวันที่ 28 ต้องออกเดินทางไปสถานฑูตไทยที่โมนาโก เพื่อไปขอเอกสารรับรองว่าดิฉันได้เป็นคนไทย และเดินทางมาถึงฝรั่งเศสแล้วประมาณนั้น (เหตุผลที่ต้องไปถึงโมนาโกเพราะที่อื่นปิดพักร้อนกันหมดค่ะ) ทีแรกทางอำเภอจะไม่ยอมอนุมัติเอกสารจากโมนาโก ด้วยอ้างว่าโมนาโกไม่ใช่ฝรั่งเศส แต่ทนการตื๊อของสามีไม่ไหว ก็เลยอนุมัติค่ะ
จากมาร์กเซย์ไปโมนาโกนั้นไม่ไกลมากค่ะ แต่ว่ารถติดมากเพราะเป็นช่วงฤดูร้อน คนจะเดินทางไปเที่ยวโมนาโกกันเยอะค่ะ ระหว่างทางก็ต้องโทรติดต่อกับเจ้าหน้าที่ตลอดทางค่ะ เพราะว่ากลัวไม่ทันสถานฑูตจะปิดตอนเที่ยงครึ่งค่ะ เจ้าหน้าที่ใจดีบอกว่ายังไงก็จะรอ (น่ารักมากด้วยนะคะ)
เสร็จเรื่องเอกสารก็ต้องรีบขับรถกลับมายื่นเอกสารให้อำเภอต่อค่ะ เพราะในวันพรุ่งนี้ (29 กรกฎาคม) เป็นวันแต่งงานค่ะ เห็นมั้ยคะว่าแต่งงานสายฟ้าแลบจริงๆ ค่ะ แม้กระทั่งแหวนแต่งงานก็ยังไม่ได้เตรียมค่ะ หลังจากยื่นเอกสารให้อำเภอแล้ว ก็พากันตระเวนดูแหวนตามร้านต่างๆ ค่ะ ตกลงได้แหวนทองคำขาวเกลี้ยงๆ มาคนละวง แต่แบบไม่เหมือนกันเลยค่ะ เพราะหาเหมือนกันไม่ได้
เสร็จจากแหวนก็พาว่าที่เจ้าบ่าวไปหาซื้อกางเกงกับเสื้อตัวใหม่ ส่วนชุดดิฉันเองนั้นเตรียมมาจากเมืองไทยแล้วค่ะ พอดีมีเวลาไปเดินแพลทตินั่มก่อน (ชุดแต่งงานจากแพลทตินั่ม 5555)
และแล้ววันแต่งงานก็มาถึง ตื่นมาตอนเช้าหาได้นัดช่างแต่งหน้าทำผมเหมือนเจ้าสาวคนอื่นไม่ เราออกเดินทางไปรับล่ามไทย ผู้ที่จะมาช่วยดูแลในการแต่งงาน (จำเป็นต้องใช้ล่ามค่ะ) และเราจะต้องทำสัญญาก่อนแต่งงานด้วยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเอกสาร ทรัพย์สิน หนี้สิน เงินในบัญชีต่างๆ สัญญานี้ดูแลโดยทนายประจำบ้านค่ะ ซึ่งมีพี่คนไทยที่นี่มาเป็นล่ามให้ ทำสัญญาเสร็จก็แวะหาข้าวทานกันค่ะ จากนั้นก็มาแต่งตัวเพราะตอนบ่ายต้องเข้าไปอำเภอพร้อมกัน รวมทั้งล่ามด้วยค่ะ
บรรยากาศในอำเภอก็เรียบง่าย มีท่านนายอำเภอมาทำหน้าที่เป็นประธานในงาน มีเพื่อนเจ้าบ่าวมากมาย เราลืมช่อดอกไม้ แต่โชคดีเพื่อนของแฟนที่ทำหน้าที่เพื่อนเจ้าสาวนั้นเตรียมมาให้ด้วย รอดไป
แขก ในงานประกอบไปด้วยเพื่อนเจ้าบ่าว พ่อแม่ของเพื่อนเจ้าบ่าว แต่พ่อแม่ของเจ้าบ่าวเองไม่มาซักคนค่ะ แม้กระทั่งคนในครอบครัว (พ่อแม่แยกทางกันค่ะ และไม่ได้สนิทกับครอบครัวเท่าไหร่) และมีลูกค้าของแฟนอีกสองสามคน อ้อแล้วที่สำคัญมีคนไทยที่เป็นครูของแฟนมาร่วมงานด้วยสองคน รวมมีคนไทยในงานทั้งหมดสามคนค่ะ ก็ดีนะคะรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย แค่บรรยากาศก็ทำให้เจ้าบ่าวของดิฉันร้องไห้แล้วค่ะ
ใช้เวลาในการประกอบพิธีราวๆ สองชั่วโมงก็เป็นอันเรียบร้อยสำหรับการ แต่งงานสายฟ้าแลบ ของเราค่ะ
แต่ว่าชีวิตของดิฉันกับสามีเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นค่ะ ยังมีเรื่องที่ต้องฉุกละหุก วุ่นวาย เหนื่อย ท้อ ทะเลาะกันอีกมากมายค่ะ ติดตามในตอนต่อไปนะคะ