หลักการกินอาหารง่ายๆ สำหรับหญิงตั้งครรภ์

0

ช่วงนี้เรามีเพื่อนๆหลายคนที่กำลังตั้งครรภ์  ก็ได้มีการคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันบ้าง รวมถึงเป็นที่ปรึกษาให้กับคุณแม่มือใหม่ที่เพิ่งตั้งครรภ์ท้องแรก

เรื่องหลักๆที่เราจะเตือนเลย คือเรื่องการรับประทานอาหาร เพราะหลายๆคนมักจะเชื่อว่าถ้าท้องแล้วจะต้อง “โด๊ป” เพื่อบำรุงลูกในท้อง  บางคนก็คิดว่าแพ้ท้องแล้วจะกินอะไรก็ได้เพราะลูกในท้องอยากกิน  ดังนั้นก็จัดกันเต็มที่เลย ……… ซึ่งที่จริงแล้วมัน “ไม่ใช่” อย่างที่เชื่อกันมานะเออ

เรื่องแรกเลย การกินตามใจปาก ……..ในขณะที่ตั้งครรภ์นั้น  อาหารทุกอย่างที่แม่กินเข้าไปจะถูกส่งต่อไปถึงลูกผ่านทางรกและสายสะดือ โดยตรงไม่ต้องผ่านการย่อยหรือแยกใดๆ     ถ้าแม่ตามใจปากกินทุกอย่างไม่เลือก ไม่ได้มองว่าสิ่งนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายหรือไม่  ทุกสิ่งเหล่านั้นก็อาจจะเป็นโทษแก่ทารกในครรภ์ได้  ของหมักดองต่างๆ   ขนมหวาน    และการกินเหล่านี้จะไปสร้างปัญหาให้กับแม่เมื่อคลอดแล้วด้วย คือน้ำหนักแม่ขึ้นเยอะเกินแล้วลดไม่ลง  ถึงแม้ว่าเราจะทราบดีกันแล้วว่า ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงคลอด แม่ควรจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณ 12-15 กิโลกรัม  แต่ !!!!  ต้องดูทุนน้ำหนักเดิมของแม่ด้วยว่ามีอยู่เท่าไหร่   โดยการคำนวณค่า BMI ของร่างกาย

 

วิธีการคำนวณค่า BMI คือ น้ำหนัก (กิโลกรัม) / ส่วนสูง (เมตร) 2

 

เช่น  หนัก 50 กิโลกรัม  สูง 160 เซนติเมตร ( = 1.6 เมตร)    จะได้เท่ากับ  50 / 1.6 x 1.6 = 19.5

ดังนั้นค่า BMI จึงเท่ากับ 19.5

เมื่อได้ค่า BMI แล้วเราก็จะรู้ว่า น้ำหนักของเราควรจะขึ้นมาอยู่ที่เท่าไหร่  คร่าวๆดังนี้

ค่า BMI ต่ำกว่า 18   น้ำหนักระหว่างตั้งครรภ์ควรจะเพิ่มอยู่ที่ 12-18 กิโลกรัม

ค่า BMI  18-24        น้ำหนักระหว่างตั้งครรภ์ควรจะเพิ่มอยู่ที่ 11-16 กิโลกรัม

ค่า BMI  25-29        น้ำหนักระหว่างตั้งครรภ์ควรจะเพิ่มอยู่ที่  7-11  กิโลกรัม

ค่า BMI 30 ขึ้นไป      น้ำหนักระหว่างตั้งครรภ์ควรจะเพิ่มอยู่ที่  5-9    กิโลกรัม

แต่เทคนิคสำหรับเราคือ  เมื่อไปพบหมอทุกครั้ง เราจะถามเลยว่ารอบนี้ต้องการน้ำหนักขึ้น หรือลงอีกเท่าไหร่  จากนั้นก็ควบคุมให้ได้ตามนั้นเลย   เนื่องจากว่าบางคนอาจจะมีแตกต่างย่อยลงไปอีก  ซึ่งอาจจะต้องการน้ำหนักที่ต่างจากค่ากลางนี้   เลยใช้วิธีถามหมอเอาเลยจะคำตอบที่ดีที่สุด

หลักของการรับประทานอาหารขณะที่ตั้งครรภ์  คือรับประทานอาหารให้หลากหลายประเภท ให้ครบ 5 หมู่ ใน 1 วัน  ถ้าครบ 5 หมู่ได้ในทุกมื้อยิ่งดี  ไม่ควรรับประทานอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งซ้ำๆกัน  เพราะว่าเราจะได้สารอาหารแค่แบบเดียว  ยกตัวอย่างเช่น วันนี้กินปลา พรุ่งนี้อาจจะกินไก่ วันต่อไปอาจจะกินหมู ให้คละๆกันไป     ยิ่งถ้าใครทานยาบำรุงต่างๆที่หมอให้มาไม่ได้  (บางคนอาเจียนเพราะแพ้ท้อง) ก็ต้องรับประทานอาหารให้หลากหลายยิ่งขึ้น

รับประทานอาหารหลากหลายประเภท ไม่ใช่การรับประทานสิ่งหนึ่งสิ่งใดในปริมาณมากๆ “ 

เพราะหญิงตั้งครรภ์ต้องการพลังงานมากขึ้นจากเดิมเพียงวันละ  200-300 กิโลแคลอรี่เท่านั้น

เรียกได้ว่าเราควรรับประทานอาหารแบบเน้นคุณภาพมากว่าเน้นปริมาณนั่นเอง

อาหารที่หญิงตั้งครรภ์ห้ามรับประทานโดยเด็ดขาดเลยคือ แอลกอฮอล์ และอาหารทุกประเภทที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์  (ในคนปกติก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรรับประทานอยู่แล้ว ยิ่งในหญิงตั้งครรภ์ แอลกอฮอล์จะผ่านไปถึงทารกได้โดยตรง ซึ่งร่างกายของทารก ระบบการกำจัดสารพิษยังไม่ดีพอ และอาจจะมีผลกับการเจริญเติบโตในครรภ์ได้)

เมื่อเจ็บป่วย หรือไม่สบายใดๆ ห้ามซื้อยามารับประทานเอง  ต้องไปพบแพทย์เท่านั้น และหากไม่ได้พบสูตินรีแพทย์ที่ฝากครรภ์ โดยตรง ต้องแจ้งแพทย์ทุกครั้งว่า กำลังตั้งครรภ์ เพราะยาบางประเภทมีผลกับทารกในครรภ์

ของหวานก็เป็นของอีกประเภทหนึ่ง ที่ต้องรับประมานแบบมีสติ (บางคนแพ้ท้องมาก สามารถจะรับประทานทุเรียนได้เป็นลูกๆ  )    ถ้าแม่รับประทานของหวานมากเกินไปในขณะตั้งครรภ์ นอกจากจะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มอย่างรวดเร็ว ทำให้ผิวแตกลาย และน้ำหนักเหลือค้างมากหลังคลอดแล้ว  ยังจะทำให้เกิดโรคเบาหวานในขณะตั้งครรภ์ โรคความดันโลหิตสูงในขณะตั้งครรภ์ได้  เมื่อเกิดภาวะดังกล่าว ก็จะเสี่ยงกับภาวะครรภ์เป็นพิษ  คลอดก่อนกำหนด  ทารกในครรภ์พิการ และอื่นๆอีก    ซึ่งล้วนแต่เป็นลบทั้งสิ้น        นอกจากขนมหวานต่างๆแล้ว ผลไม้บางชนิด เช่น ทุเรียน องุ่น  เงาะ มังคุด ลำไย น้อยหน่า ก็มีน้ำตาลสูงเช่นกัน   “การรับประทานแต่พอดีหมายถึง  การรับประทานในอัตราปกติของคนทั่วไป”  เช่นทุเรียน 1 ชิ้น (1 เมล็ด )   มังคุด 3ผล  เงาะ 3-4 ผล     ไม่ใช่ทานทุเรียนทุกวัน  วันละ 1 ลูก  อันนี้ถือว่ามากเกินไป

นอกจากนี้ การรับประทานสิ่งสังเคราะห์ต่างๆ หญิงมีครรภ์ควรจะหลีกเลี่ยงไปเลย หรือควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน  เช่น วิตามิน  ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ น้ำมันปลา น้ำมันตับปลา โปรตีนผง   ควรนำบรรจุภัณฑ์ที่แสดงรายละเอียดของส่วนประกอบไปให้แพทย์ที่ฝากครรภ์ พิจารณาก่อนรับประทาน (ถ้าหากว่าอยากรับประทานจริงๆ )

อาหารประเภทโปรตีน ก็เป็นอีกประเภท ที่ต้องระมัดระวัง     การรับประทานอาหารจำพวกนมวัว  ถั่ว  ไข่ อาหารทะเล  แป้งสาลี  มากเกินไปนั้น  จะเพิ่มความเสี่ยงให้ทารกเกิดมาแล้วมีอาการแพ้ในอาหารเหล่านี้ได้      ที่เราเคยเชื่อกันว่าเมื่อตั้งครรภ์แล้ว กินนมวัวเยอะๆนั้นดี  บำรุง  บางคนกินกันวันละเป็นลิตร   เป็นความเชื่อที่ผิด   พฤติกรรมนี้จะส่งผลให้ทารกเกิดอาการแพ้โปรตีนนมวัวได้ในอนาคต    หากจะรับประทานก็ทำได้เพียงแต่ให้ทานแค่วันละ 1 แก้ว   สลับกันไป   เช่นวันนี้กินนมวัว พรุ่งนี้กินนมถั่วเหลือง วันต่อไปงด

สรุปโดยหลักๆอีกครั้งคือ   หญิงที่ตั้งครรภ์ ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ อย่ารับประทานอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งซ้ำๆ หรือรับประทานในปริมาณที่มากๆ    ให้รับประทานแบบหลากหลายชนิด  ไม่โด๊ป  เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ และที่สำคัญควรจะดื่มน้ำให้มากๆ    เพราะร่างกายต้องใช้น้ำส่วนหนึ่งในการสร้างน้ำคร่ำและเลือดให้กับทารก  ทานน้ำบ่อยๆทุกๆครั้งที่หิวหรือรู้สึกว่าปากแห้ง ค่ะ

Share.

About Author

fhon.nux@gmail.com'

Leave A Reply